ตั้งราคาแบบไหนให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ!

ตั้งราคาแบบไหนให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ!

การตั้งราคาสินค้าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ร้านโชห่วยหรือร้านขายของชำสามารถสร้างความประทับใจและดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง
ความอิสระในการตั้งราคาและการตั้งโปรโมชั่นของ ร้านโชห่วย หรือ ร้านของชำ คือหนึ่งในจุดแข็งที่จะสามารถเอาชนะร้านสะดวกซื้อค่ะ


1. ตั้งราคาจากการเปรียบเทียบราคาตลาด

การตั้งราคาตามตลาดเป็นกลยุทธ์ที่ ร้านโชห่วย และ ร้านขายของชำ ไม่ควรมองข้าม การสังเกตราคาคู่แข่งที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน หรือแม้แต่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล
จะช่วยให้เรารู้ว่าควรตั้งราคาแบบไหนเพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าแพงจนเกินไป หากสามารถตั้งราคาถูกกว่าหรือใกล้เคียง ก็จะทำให้ร้านเราเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในใจลูกค้าได้ทันที

ตัวอย่างเช่น หากร้านข้างเคียงขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซองละ 7 บาท ร้านคุณอาจตั้งราคาเท่ากันแต่มีโปรโมชั่นซื้อ 5 แถม 1 หรือหากขายน้ำดื่มขวดใหญ่
คุณอาจตั้งราคาถูกกว่าคู่แข่งเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะดึงดูดลูกค้าให้หันมาซื้อที่ร้านคุณ หรือขายเท่ากันแต่แถมบริการเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ใส่น้ำแข็งฟรี ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้

2. ตั้งราคาคำนวณง่าย

ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบการคิดเงินที่รวดเร็วและไม่ซับซ้อน ตัวเลขที่ลงท้ายด้วย 0 และ 5 เป็นราคาที่ลูกค้าคุ้นเคยและสะดวกต่อการคำนวณ เช่น 10 บาท, 15 บาท, 20 บาท หรือ 25 บาท
เมื่อลูกค้าเดินมาซื้อหลายชิ้นพร้อมกันก็สามารถรวมราคาได้ในใจทันที ทำให้ไม่รู้สึกยุ่งยาก
ตัวอย่างเช่น ลูกค้ามาซื้อขนม 3 ห่อ ราคา 10 บาทต่อห่อ เขาจะรู้ได้ทันทีว่าต้องจ่าย 30 บาท หรือซื้อน้ำอัดลม 2 ขวด ขวดละ 15 บาท ก็รู้ทันทีว่าเป็น 30 บาท
ไม่ต้องเสียเวลาหยิบเครื่องคิดเลข หรือกลัวว่าจะถูกคิดเงินผิด การตั้งราคาง่าย ๆ แบบนี้ช่วยให้การซื้อขายราบรื่นและทำให้ลูกค้าอยากกลับมาอุดหนุนอีก เพราะพวกเขารู้สึกว่าสะดวกและไม่ต้องเสียเวลา

3. ตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9

เทคนิคนี้เรียกว่า “Charm Pricing” เป็นกลยุทธ์ที่นิยมทั่วโลกและยังใช้ได้ผลเสมอ การตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 19 บาท, 29 บาท หรือ 39 บาท
ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนราคานั้นถูกลงกว่าความเป็นจริง เช่น 19 บาทดูเหมือนถูกกว่า 20 บาท ทั้งที่ต่างกันเพียง 1 บาทเท่านั้น

สำหรับร้านโชห่วยและร้านขายของชำ วิธีนี้เหมาะกับสินค้าที่ลูกค้ามักตัดสินใจซื้อโดยไม่คิดนาน เช่น ของใช้ในชีวิตประจำวัน ขนมขบเคี้ยว หรือสินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อย ๆ
เมื่อเห็นราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9 ลูกค้าจะรู้สึกว่าประหยัดขึ้น และมีแนวโน้มเลือกซื้อซ้ำเพราะรู้สึกคุ้มค่ามากกว่า

4. ตั้งราคาแบบสเต็ป

กลยุทธ์การตั้งราคาแบบสเต็ป คือการกำหนดราคาสินค้าให้มีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกว่าเพิ่มเงินอีกนิดเดียวก็ได้ของมากขึ้น
เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถ้วยเล็กขาย 15 บาท แต่ถ้วยใหญ่ขาย 20 บาท ลูกค้าส่วนใหญ่จะเลือกถ้วยใหญ่เพราะรู้สึกว่าคุ้มค่ากว่า ทั้งที่ร้านมีกำไรเพิ่มขึ้นด้วย
การตั้งราคาแบบนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าที่มีหลายขนาด เช่น เครื่องดื่ม ขนม หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ลูกค้าจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ แต่จริง ๆ แล้วร้านกลับมีกำไรต่อหน่วยที่สูงกว่า
อีกทั้งยังทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ และมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ซ้ำอีกในอนาคต

Facebook
Twitter
Email

บทความอื่นๆ

Scroll to Top